ในโลกฟุตบอล ความสำเร็จไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงหรือการคาดการณ์จากสื่อ แต่ยังเกี่ยวข้องกับความมุ่งมั่น ความทุ่มเท และการทำงานหนักของทีมที่มักจะถูกมองข้ามหรือไม่ได้รับการประเมินสูงในตอนแรก หลายครั้งที่ทีมเหล่านี้ไม่ใช่ทีมที่ได้รับการยกย่องให้เป็นทีมเต็งแชมป์ แต่กลับสามารถพลิกสถานการณ์และสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับโลกฟุตบอล โดยการคว้าถ้วยรางวัลใหญ่ที่ทุกคนคาดไม่ถึง และเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลไปตลอดกาล การพลิกโฉมของทีมเหล่านี้ทำให้โลกฟุตบอลต้องทบทวนใหม่ถึงแนวคิดที่ว่า “ทีมที่ประเมินต่ำมักไม่สามารถไปถึงจุดสูงสุดได้” โดยพวกเขาสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า ความมุ่งมั่นและการทำงานเป็นทีมที่ดีสามารถเอาชนะปัจจัยภายนอกที่อาจจะไม่เอื้อต่อความสำเร็จได้จริง ๆ วันนี้เราจะมาพูดถึง ทีมที่เคยถูกประเมินต่ำ ในตอนแรก แต่กลับคว้าถ้วยรางวัลใหญ่ได้อย่างน่าทึ่ง จนทำให้ทุกคนต้องจดจำพวกเขาในฐานะทีมที่พลิกผันจากความท้าทายสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
เลสเตอร์ ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก 2015-2016)
การสร้างประวัติศาสตร์ในพรีเมียร์ลีก
ฤดูกาล 2015-2016 เป็นฤดูกาลที่เลสเตอร์ ซิตี้สร้างประวัติศาสตร์ในพรีเมียร์ลีกอย่างแท้จริง เมื่อพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกได้อย่างน่าทึ่ง หลังจากที่ในฤดูกาลก่อนหน้านั้นพวกเขาเกือบจะตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก การคว้าแชมป์ของเลสเตอร์ ซิตี้เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อในประวัติศาสตร์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้:
- การเริ่มต้นที่ไม่คาดคิด: ในช่วงเริ่มต้นฤดูกาล 2015-2016 เลสเตอร์ ซิตี้ไม่เคยถูกมองว่าเป็นทีมที่จะมีโอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเลย แม้แต่ในหมู่แฟนบอลที่อาจจะเชื่อมั่นในทีมอย่างเลสเตอร์ก็ยังมองว่าทีมนี้จะต่อสู้เพื่อไม่ให้ตกชั้นในฤดูกาลนั้น โดยหลายฝ่ายคาดว่าเลสเตอร์จะเป็นทีมที่อยู่ในครึ่งล่างของตาราง
- การทำงานร่วมกัน: สิ่งที่ทำให้เลสเตอร์ ซิตี้มีผลงานที่โดดเด่นในฤดูกาลนั้นคือการทำงานร่วมกันของโค้ช เคลาดิโอ รานิเอรี และนักเตะที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจิตวิญญาณการต่อสู้ เช่น ริยาด มาห์เรซ, เจมี่ วาร์ดี้, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, และ โรเบิร์ต ฮุธ ทีมงานนี้ไม่ได้แค่เล่นด้วยทักษะที่ยอดเยี่ยม แต่ยังทำงานเป็นทีมได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะการเล่นเกมสวนกลับที่เร็วและมีประสิทธิภาพ
- การคว้าแชมป์: ในช่วงท้ายฤดูกาล เลสเตอร์ ซิตี้ไม่เพียงแต่รักษาผลงานที่ดีไว้ แต่ยังสามารถทำผลงานที่ยิ่งใหญ่กว่าทีมใหญ่ๆ อย่าง อาร์เซนอล และ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ที่มีชื่อเสียงและงบประมาณมากกว่า โดยเลสเตอร์สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ด้วยคะแนนที่เหนือกว่าทุกทีมในลีก สิ่งนี้เป็นการพิสูจน์ว่าในวงการฟุตบอลความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมาจากทีมที่มีเงินมากมายหรือชื่อเสียงระดับโลก
กระแสในโซเชียลและการจดจำ
การคว้าแชมป์ของเลสเตอร์ ซิตี้ในปี 2016 ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ในพรีเมียร์ลีก แต่ยังสร้างกระแสในโลกโซเชียลมีเดียอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน:
- การเฉลิมฉลองในโซเชียลมีเดีย: เมื่อเลสเตอร์ ซิตี้คว้าแชมป์ได้สำเร็จ แฟนบอลทั่วโลกต่างพากันแสดงความยินดีผ่านโซเชียลมีเดีย แฮชแท็กต่าง ๆ เช่น #LCFC และ #LeicesterCityChampions ถูกใช้เพื่อแชร์ความยินดีและการเฉลิมฉลองนี้ในทุกแพลตฟอร์มโซเชียล
- คลิปการฉลองแชมป์: คลิปการฉลองแชมป์ของนักเตะและแฟนบอลที่สนามคิงเพาเวอร์ สเตเดียมถูกแชร์และพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะคลิปที่ เจมี่ วาร์ดี้ และ ริยาด มาห์เรซ แสดงความดีใจหลังจากคว้าแชมป์ พร้อมทั้งโพสต์ภาพและข้อความจากทั้งนักเตะและแฟนบอลที่ทั่วโลก
- การพูดถึงในสื่อกีฬา: ในช่วงเวลานั้นการคว้าแชมป์ของเลสเตอร์ ซิตี้ได้รับการพูดถึงในทุกสำนักข่าวกีฬา และได้กลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก โดยหลายสำนักข่าวยกย่องการทำงานเป็นทีมและความทุ่มเทของทุกฝ่าย
- การจดจำในประวัติศาสตร์: การคว้าแชมป์ของเลสเตอร์ ซิตี้ในปี 2016 ยังคงเป็นความทรงจำที่ไม่เคยลืมเลือนในใจแฟนบอล โดยทีมที่ไม่เคยได้รับการคาดหวังมาก่อนสามารถสร้างประวัติศาสตร์และพลิกความคาดหมายอย่างไม่น่าเชื่อ โดยชื่อของเลสเตอร์ ซิตี้จะถูกจดจำในฐานะทีมที่ทำให้ฟุตบอลอังกฤษได้เห็นความอัศจรรย์แห่งการต่อสู้และการทำงานหนักที่ทำให้ทีมเล็กๆ กลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้
การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของเลสเตอร์ ซิตี้ไม่เพียงแต่ทำให้แฟนบอลของทีมภาคภูมิใจ แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมที่มักจะถูกมองข้ามและพิสูจน์ให้เห็นว่าในโลกของฟุตบอลทุกอย่างเป็นไปได้หากมีความมุ่งมั่นและทีมที่ทำงานร่วมกันอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะ ความลับของทีมที่ประสบความสำเร็จ ที่แท้จริงก็คือการมีทีมเวิร์กที่ยอดเยี่ยม การสื่อสารที่ดีในสนาม และการรักษาแนวทางการเล่นที่มั่นคง แม้จะไม่มีชื่อเสียงหรือความคาดหวังจากภายนอก แต่เลสเตอร์ ซิตี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความร่วมมือและการทำงานหนักคือกุญแจสำคัญในการก้าวข้ามขีดจำกัดและทำให้ความฝันเป็นจริงได้
เชลซี (ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2011-2012)
ความสำเร็จที่ไม่มีใครคาดคิด
การคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2011-2012 ของเชลซีกลายเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะในตอนแรกพวกเขาไม่ได้รับการยกให้เป็นทีมเต็งในการแข่งขัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับทีมอย่างบาเยิร์น มิวนิคที่มีนักเตะระดับโลกและเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรปในขณะนั้น การเดินทางสู่แชมป์ของเชลซีเต็มไปด้วยความท้าทายและการพลิกสถานการณ์ที่น่าทึ่ง:
- การแข่งขันกับบาเยิร์น มิวนิค: รอบชิงชนะเลิศที่สนามอัลลิอันซ์ อารีน่า (บ้านของบาเยิร์น) เชลซีต้องเผชิญหน้ากับทีมเจ้าบ้านที่มีฟอร์มสุดยอดในตอนนั้น โดยบาเยิร์นมิวนิคได้มีโอกาสทำประตูหลายครั้ง แต่เชลซีก็ยังคงสู้เต็มที่ แม้จะเสียประตูจาก โธมัส มุลเลอร์ ในช่วงท้ายเกม
- ประตูสำคัญจากดิดิเยร์ ดร็อกบา: เชลซีสามารถตีเสมอได้จากการทำประตูอันยอดเยี่ยมของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ในช่วงนาทีที่ 88 ของเกม ทำให้การพลิกกลับจากการตามหลัง 1-0 กลายเป็นสิ่งที่แฟนบอลเชลซีทั่วโลกตั้งตารอ
- การยิงจุดโทษที่สำคัญ: ในการดวลจุดโทษหลังจากเสมอกัน 1-1 ใน 90 นาที เชลซีสามารถยิงจุดโทษได้สำเร็จและเอาชนะไป 4-3 โดยมีการยิงจุดโทษที่เด็ดขาดจาก ดิดิเยร์ ดร็อกบา ซึ่งเป็นคนยิงประตูชัยในช่วงท้ายเกม
- การพลิกสถานการณ์: แม้ว่าเชลซีจะไม่ได้มีชื่อเสียงในฐานะทีมเต็งในตอนนั้น แต่พวกเขากลับแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ทีมเชลซีได้พิสูจน์ให้เห็นว่าในวงการฟุตบอล ทีมที่มีความมุ่งมั่นและการทำงานเป็นทีมสามารถเอาชนะทีมที่แข็งแกร่งกว่าได้
กระแสในโซเชียล
หลังจากที่เชลซีคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2012 ได้สำเร็จ กระแสในโซเชียลมีเดียได้ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยแฟนบอลทั่วโลกพากันแชร์ความยินดีและความประทับใจในความสำเร็จครั้งนี้:
- การแชร์และโพสต์ในโซเชียล: แฟนบอลเชลซีในทั่วโลกพากันแชร์ภาพและคลิปการฉลองแชมป์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น ทวิตเตอร์, เฟซบุ๊ก, และอินสตาแกรม โดยใช้แฮชแท็กต่าง ๆ เช่น #ChelseaFC, #UCLChampions, #TheBlues เพื่อแสดงความยินดี
- คลิปที่ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ยกถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และภาพการฉลองของนักเตะและแฟนบอลเชลซีกลายเป็นสิ่งที่ถูกแชร์และพูดถึงอย่างกว้างขวาง
- การพูดถึงในสื่อกีฬา: แมตช์นี้ถูกพูดถึงในทุกแพลตฟอร์มสื่อกีฬาทั่วโลก โดยมีการวิจารณ์ว่าเชลซีสามารถสร้างความสำเร็จนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะไม่ใช่ทีมเต็ง แต่กลับพลิกสถานการณ์และทำให้แฟนบอลทั้งโลกต้องทึ่ง
- การฉลองในคู่อื่นๆ: ในช่วงเวลาหลังจากการคว้าแชมป์ เชลซีได้มีการฉลองในหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการฉลองในสนาม, การขับเคลื่อนการเฉลิมฉลองในเมือง, และการเดินขบวนถ้วยรางวัลไปทั่วลอนดอน การเฉลิมฉลองเหล่านี้ได้รับความสนใจจากแฟนบอลทั่วโลก
- การสร้างความทรงจำที่ยิ่งใหญ่: แมตช์นี้ถือเป็นหนึ่งในแมตช์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรเชลซี และจะถูกจดจำไปตลอดโดยเฉพาะจากการต่อสู้ของนักเตะที่ไม่เคยยอมแพ้จนวินาทีสุดท้าย
การคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2012 ของเชลซีได้สร้างกระแสที่ไม่เพียงแต่ทำให้แฟนบอลของสโมสรภูมิใจ แต่ยังเป็นตัวอย่างให้กับทีมอื่น ๆ ว่าความมุ่งมั่นและความพยายามสามารถทำให้ทีมที่ไม่คาดหวังประสบความสำเร็จในที่สุด โดยเฉพาะ แมตช์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุด ในการพบกับบาเยิร์น มิวนิค ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและการพลิกกลับสถานการณ์ในช่วงเวลาสำคัญ การชนะในเกมนี้ไม่เพียงแต่เป็นการพิสูจน์ความสามารถของทีม แต่ยังทำให้เชลซีกลายเป็นสโมสรที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกและเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ ทีมที่มีเป้าหมายในการก้าวขึ้นมาผงาด
ดอร์ทมุนด์ (บุนเดสลีกา 2010-2011)
การคว้าแชมป์บุนเดสลีกา
ในฤดูกาล 2010-2011 ทีม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทำให้ทุกคนต้องตะลึงด้วยการคว้าแชมป์บุนเดสลีกา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ถูกมองว่าเป็นทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์ก่อนเริ่มฤดูกาล ด้วยการนำของ เยอร์เก้น คลอปป์ และผู้เล่นที่มีความมุ่งมั่นสูง ทีมดอร์ทมุนด์สามารถสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้:
- การเล่นเกมรุกที่มีประสิทธิภาพ: ดอร์ทมุนด์ภายใต้การนำของ เยอร์เก้น คลอปป์ ได้สร้างทีมที่มีระบบการเล่นเกมรุกที่ดุดันและเน้นการกดดันคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้การโจมตีจากการเปิดบอลจากปีกและการเคลื่อนไหวของกองหน้าอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ทำประตูได้อย่างมากมาย รวมถึงการเชื่อมเกมที่ดีจาก มาร์โก รอยส์ และ ฌอง-ปอล โบเกียส์
- การปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่น: คลอปป์ได้นำเสนอการเล่นที่มีความเข้มข้นและมุ่งมั่นโดยมีการเน้นการเล่นแบบกดดันและบุกอย่างรวดเร็ว ทำให้ทีมสามารถครองเกมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การป้องกันที่แข็งแกร่ง: แม้จะเน้นเกมรุกแต่ทีมดอร์ทมุนด์ยังมีการป้องกันที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะจาก มาร์ค บาร์ตรา และ มาร์โก ฮุมเมิลส์ ที่เป็นเสาหลักในแนวรับ
- การคว้าแชมป์: ดอร์ทมุนด์สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยคะแนนที่เหนือกว่าทีมใหญ่อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งเป็นทีมที่มีประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่งและมีงบประมาณมากกว่า ดอร์ทมุนด์สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีจนจบฤดูกาลและคว้าแชมป์บุนเดสลีกาเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี
กระแสในโซเชียล
เมื่อดอร์ทมุนด์คว้าแชมป์บุนเดสลีกาในฤดูกาล 2010-2011 กระแสในโลกโซเชียลได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม เนื่องจากทีมนี้ไม่ได้รับการคาดหวังให้คว้าแชมป์ในช่วงต้นฤดูกาล และการพลิกสถานการณ์มาครองแชมป์ทำให้แฟนบอลของดอร์ทมุนด์รู้สึกภูมิใจและยินดี:
- การแชร์ในโซเชียลมีเดีย: แฟนบอลทั่วโลกใช้โซเชียลมีเดียเพื่อแสดงความยินดีและแชร์ความสำเร็จของดอร์ทมุนด์ โดยการโพสต์ภาพและคลิปการฉลองแชมป์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น ทวิตเตอร์, อินสตาแกรม, และ เฟซบุ๊ก
- แฮชแท็ก #BVB และ #BorussiaDortmund กลายเป็นที่นิยมในช่วงที่ทีมคว้าแชมป์ โดยแฟนบอลได้โพสต์ภาพการฉลองของนักเตะและการมอบถ้วยแชมป์
- การพูดถึงในสื่อกีฬา: เมื่อดอร์ทมุนด์คว้าแชมป์สื่อกีฬาทั่วโลกได้พูดถึงการทำงานที่ยอดเยี่ยมของเยอร์เก้น คลอปป์และนักเตะของเขา การคว้าแชมป์ของดอร์ทมุนด์ถูกมองว่าเป็นการพลิกแผ่นดินของวงการฟุตบอลเยอรมัน โดยการต่อสู้กับทีมใหญ่และทีมที่มีงบประมาณมากกว่า
- การสร้างกระแสในหมู่แฟนบอล: กระแสของการคว้าแชมป์นี้ไม่เพียงแต่ในเยอรมัน แต่ยังขยายไปทั่วโลกโดยการแชร์เรื่องราวการขึ้นมาคว้าแชมป์ในครั้งนี้ ดอร์ทมุนด์กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในโลกฟุตบอลและมีฐานแฟนบอลทั่วโลกที่ยินดีไปกับความสำเร็จนี้
- การจดจำในประวัติศาสตร์ของสโมสร: การคว้าแชมป์ครั้งนี้กลายเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร และทำให้ดอร์ทมุนด์กลายเป็นทีมที่ได้รับการยอมรับในระดับสูงไม่เพียงแต่ในเยอรมัน แต่ยังในระดับโลก
ดอร์ทมุนด์ในปี 2010-2011 ได้สร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยการคว้าแชมป์บุนเดสลีกาและทำให้แฟนบอลของทีมภูมิใจอย่างมาก โดยแสดงให้เห็นว่าในวงการฟุตบอล การทำงานร่วมกันและความมุ่งมั่นสามารถทำให้ทีมที่ไม่คาดหวังได้ประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่
ทีมที่เคยถูกประเมินต่ำ เช่น เลสเตอร์ ซิตี้, เชลซี, และ ดอร์ทมุนด์ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความสำเร็จในวงการฟุตบอลไม่ได้ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงหรือการคาดการณ์จากภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากความมุ่งมั่น ความทุ่มเท และการทำงานร่วมกันของทีม การคว้าแชมป์ของ เลสเตอร์ ซิตี้ ในพรีเมียร์ลีก 2015-2016, เชลซี ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2012, และ ดอร์ทมุนด์ ในบุนเดสลีกา 2010-2011 เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ทีมเหล่านี้ไม่เคยถูกมองว่าเป็นทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์ แต่พวกเขากลับสามารถพลิกสถานการณ์จากทีมที่ไม่ค่อยได้รับการคาดหวังมาเป็นแชมป์ในที่สุด ความสำเร็จเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้แฟนบอลภูมิใจ แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมอื่น ๆ ที่ถูกมองข้ามว่าในวงการฟุตบอล ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้หากมีความมุ่งมั่นและการทำงานร่วมกัน ทีมเหล่านี้ได้สร้างประวัติศาสตร์และทำให้โลกฟุตบอลต้องทบทวนว่า ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมาจากทีมที่มีชื่อเสียงหรือความคาดหวังสูงเสมอไป
คำถามที่พบบ่อย
1. เลสเตอร์ ซิตี้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อย่างไร?
เลสเตอร์ ซิตี้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2015-2016 ด้วยการแสดงฟอร์มที่ยอดเยี่ยมและการทำงานเป็นทีมที่แข็งแกร่ง พวกเขาทำให้หลายคนต้องตะลึงเมื่อเอาชนะทีมใหญ่ๆ ในลีก
2. เชลซีพลิกสถานการณ์ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2012 ได้อย่างไร?
เชลซีสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2012 ได้โดยการเอาชนะบาเยิร์น มิวนิคในรอบชิงชนะเลิศ ด้วยการยิงจุดโทษที่สำคัญหลังจากการทำประตูตีเสมอในนาทีที่ 88
3. ดอร์ทมุนด์สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้อย่างไร?
ดอร์ทมุนด์สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2010-2011 ได้ด้วยการนำทีมโดยเยอร์เก้น คลอปป์ และการเล่นเกมรุกที่ดุดัน พร้อมกับนักเตะที่มีความสามารถ
4. ทีมใดที่เคยถูกประเมินต่ำแต่ประสบความสำเร็จในวงการฟุตบอล?
เลสเตอร์ ซิตี้, เชลซี, และดอร์ทมุนด์ คือทีมที่เคยถูกประเมินต่ำแต่กลับสามารถคว้าถ้วยรางวัลใหญ่ได้